วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561

ใช้เช็คยังไงไม่ติดคุก

เมษายน 20, 2561 0


ปัจจุบันหลายคนมักใช้เช็คเงินสดในการชำระค่าสินค้า หรือชำระหนี้ โดยเหตุผลแต่ละคนที่ใช้นั้นก็แตกต่างกันไป
รู้หรือไม่ว่า หากเราสั่งจ่ายเช็คให้ใครไปเพื่อชำระหนี้ หรือค่าสินค้า หากธนาคารปฏิเสธการจ่าย หรือที่บ้านๆเรียกกันว่าเช็คเด้ง นั้นจะมีความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจาการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔  มาตรา ๔ ที่บัญญัติว่า ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีลักษณะหรือมีการก ระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ 
           (๑) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น
           (๒) ในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ 
 
           (๓) ให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ใ นขณะที่ออกเช็คนั้น 
           (๔) ถอนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนออกจากบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินตามเช็คจนจำนวน เงินเหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามเช็คนั้นได้  
           (๕) ห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต 
        เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย  ถ้าธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น ผู้ออกเช็คมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือทั้งปรับทั้งจำ

ง่ายๆคือ ถ้าเช็คนั้นสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และสามารถบังคับได้ตามกฎหมาย ก็จะถือว่ามีความผิดทันที โดยมีโทษปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี

แต่ระวังกลโกงของนักเล่นเช็ค ปัจจุบันมีผู้เสียหายหลายคนที่พอได้รับเช็คมาเพื่อชำระหนี้แล้วมักจะไว้วางใจว่า หากเช็คเด้งขึ้นมาก็สามารถที่จะเอาผิดกับคู่กรณีทางอาญาได้ คือ เอาคนที่สั่งจ่ายเช็คเข้าคุกได้นั่นเอง ซึ่งกลโกงเหล่านี้มีหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น

1 ตีเช็คเพื่อค้ำประกันการชำระหนี้ หรือสินค้า คือ ถ้าผู้สั่งจ่ายเช็ค ให้เช็คมาโดยกำหนดว่าเช็คนี้ออกเพื่อค้ำประกันการชำระหนี้ เช็คฉบับนี้จะไ่ม่ถือว่ามีความผิดทางอาญาทันที เนื่องจากเช็คฉบับนี้มีเจตนาค้ำประกัน มิได้ชำระหนี้ จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตาม พรบ.เช็คฯ

2 ออกเช็คชำระเงินให้สูงกว่าที่กำหนดในสัญญา เช่น นาย ก กู้ยืมเงินจาก นาย ข จำนวน 1 ล้านบาท โดย นาย ก บอกกับนาย ข ว่า จะให้ดอกเบี้ย 2 แสนบาท และจะเขียนเช็คเงินสดไว้ให้เลยจำนวน 1  ล้าน 2 แสนบาท เช่นนี้ ยังไงนาย ข ก็ต้องให้นาย ก กู้ยืมเงินอยู่แล้วเนีื่องจากได้ดอกเบี้ยที่สูง อีกทั้งยังได้เช็คมาอีก หากเช็คเด้งก็สามารถที่จะดำเนินคดีอาญานำนาย ก เข้าคุก
     กรณีแบบนี้ เช็คฉบับดังกล่าวจะไม่สามารถเอาผิดทางอาญาได้เลย เนื่องจากว่าเป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เมื่อดอกเบี้ยผิดกฎหมายส่งผลให้เช็คไม่สามารถบังคับชำระได้ตามกฎหมายจึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดของ พรบ.เช็ค

และยังมีอีกหลากหลายกรณี ซึ่งบุคคลเหล่านี้มักจะมาในรูปแบบที่จะเกลี้ยกล่อมและอธิบายให้เราฟังว่า ถ้าเช็คเด้งไปฟ้องได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เงิน 
ดังนั้น การจะรับเช็คเพื่อรับชำระหนี้จากใครนั้นก็ดูให้ดีก่อน ตรวจสอบให้ละเอียดถี่ถ้วนให้แน่ใจว่าจะได้รับเงินจริงๆ


รับปรึกษากฎหมาย 
สำนักงานกฎหมายทนายประชาธรรม
ทนายอิศรา เจริญพิทยา
0847046529 , 0997450205

credit pic : http://srisunglaw.com

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

รับมรดกคู่สมรสที่เป็นคนต่างชาติ

เมษายน 19, 2561 1

การรับมรดกคู่สมรสที่เป็นคนต่างชาติ

ในปัจจุบันคนไทยหลายคนมีคู่สมรสเป็นคนต่างชาติ ไม่ว่าทั้งชายหรือหญิง ในช่วงตอนที่คู่สมรสยังมีชีวิตอยู่นั้นก็ช่างแสนราบรื่นและสวยงาม
แล้วถ้าคู่สมรสที่เป็นคนต่างชาติเสียชีวิตลงล่ะ ใครจะเป็นผู้มีสิทธิรับมรดก เราซึ่งเป็นคู่สมรสจะรับมรดกได้หรือไม่ ต้องทำอย่างไรบ้าง

เราต้องแบ่งแยกเป็น 2 กรณี
1 คู่สมรสเสียชีวิตที่ประเทศไทย กรณีนี้ต้องยื่นคำร้องขอจัดการมรดกที่ศาลประเทศไทย หลังจากที่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกแล้วก็สามารถนำคำสั่งศาลไปจัดการมรดกได้ ส่วนทรัพย์สินของคู่สมรสที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยต้องดำเนินเรื่องที่ประเทศสัญชาติของคู่สมรส
2 คู่สมรสเสียชีวิตที่ต่างประเทศ กรณีนี้ต้องดำเนินการจัดการมรดกที่ประเทศสัญชาติของคู่สมรส แต่ถ้ามีทรัพย์สินอยู่ที่ประเทศไทย ก็ต้องยื่นคำร้องขอจัดการมรดกที่ศาลประเทศไทย

ผู้ที่จะมีสิทธิรับมรดกนั้น ถ้าได้ทำการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย คู่สมรสก็มีสิทธิได้รับมรดก ถ้าในกรณีประเทศไทย แบ่งลำดับขั้นการรับมรดกดังนี้
1 บุตร ,คู่สมรส
2 บิดา มารดา
3 พี่น้องร่วมบิดามารดา
4 พี่น้องต่างบิดามารดา
5 ป้า น้า อา ลุง
6 ปู่ ย่า ตา ยาย
ในกรณีต่างประเทศ ต้องดูกฎหมายของประเทศนั้นๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ทุกประเทศกำหนดให้คู่สมรสกับุตรมีสิทธิได้รับมรดกลำดับแรก

ติดปัญหาในการรับมรดกติดต่อ
สำนักงานกฎหมายทนายประชาธรรม
ทนายอิศรา เจริญพิทยา
0847046529 , 097450205

นายจ้างหักเงินลูกจ้างระวังคุก

เมษายน 19, 2561 0

เชื่อว่าในสถานประกอบกิจการต่างๆ ลูกจ้างคงจะโดนหักเงินจากนายจ้างไม่ใช่น้อยรึไหม..... ซึ่งจริงๆแล้วตามกฎหมายแรงงาน ห้ามนายจ้างหักเงินลูกจ้างสุ่มสี่สุ่มห้า  ซึ่งในกฎหมายแรงงานได้กำหนดไว้แล้วว่านายจ้างหักเงินลูกจ้างอะไรได้บ้าง แ ละหักอะไรไม่ได้บ้าง

ในพ.ร.บ คุ้มครองแรงงานมาตรา 76 ระบุว่า ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้างนายจ้างจะหักค่าจ้างได้ในกรณีดังต่อไปนี้
1. หักภาษีหรือชำระเงินอื่นๆที่กฎหมายกำหนด
2. หักค่าสหภาพ
3. ชำระหนี้สหกรณ์
4. หักเงินประกันบางประเภท หรือหักค่าเสียหายโดยลูกจ้างต้องยินยอม
5. หักเงินสะสม

ดังนั้นโดยหลัำแล้ว นายจ้างจะหักเงินเดือนไม่ได้ ยกเว้นลูกจ้างยินยอมให้หัก  ลูกจ้างท่านใดที่โดนหักเงินสามารถร้องเรียนได้ที่กรมแรงงาน หรือปรึกษากระผม ทนายอิศรา เจริญพิทยา หากนายจ้างยังฝ่าฝืนหักเงินลูกจ้างมีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 1 แสนบาท ตามมาตรา 144  ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูรายละเอียดอื่นๆไปด้วยนะครับ

สำนักงานกฎหมายทนายประชาธรรม

ทนายอิศรา เจริญพิทยา ติดต่อ 084 7046529  099 7450205

วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561

สาดน้ำในวันสงกรานต์สุ่มสี่สุ่มห้าระวังคุก

เมษายน 14, 2561 0

ถึงแม้จะเป็นเทศกาลสาดน้ำเล่นน้ำสงกรานต์ที่มีมายาวนานแล้ว แต่กฎหมายก็ไม่ได้จะยกเว้นโทษให้ กรณีที่มีการทำความผิด
การสาดน้ำใส่คนที่เค้าไม่เล่นสงกรานต์ เช่น งานบางอย่างเค้าไม่ได้หยุด แล้วพนักงานกำลังไปทำงาน แต่โดนสาดน้ำใส่จนได้รับความเสียหาย กรณีนี้ ผู้เสียหายอาจดำเนินคดีผู้ที่สาดน้ำใส่ได้
การสาดน้ำใส่คนอื่น อาจโดนได้หลายข้อหาเลย เช่น ทำร้ายร่างกาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9244/2553 พิพากษาว่า สาดเหล้าใส่หน้าคนอื่น มีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
หรือสาดน้ำใส่คนอื่น ทำให้ทรัพย์สินเค้าเสียหาย ยิ่งยุคนี้ใช้ไอโฟนกัน โดนน้ำนิดเดียวก็เสียหายได้ หากทำทรัพย์สินของคนอื่นเสียหาย ก็อาจเจอข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็นต้น
นอกจากนั้น อาจมีข้อหาอื่นๆ อีกซึ่งคงต้องดูเป็นกรณีไป ดังนั้น ก่อนจะสาดใคร ดูให้ดีก่อนว่าเค้าเล่นด้วยรึเปล่า ไม่ใช่จะเอามันส์อย่างเดียว ถ้าผู้เสียหายเค้าเอาเรื่อง เราอาจจะตกเป็นผู้ต้องหาได้
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 358  ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 391 ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ติดต่อ สำนักงานกฎหมายทนายประชาธรรม ทนายอิศรา 099-7450205 084-7046529

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

ทำยังไง ถ้าได้รับหมายศาล

เมษายน 09, 2561 1
     
 เมื่อได้รับหมายศาลแล้ว สิ่งแรกที่ควรทำคืออ่านข้อความในหมายให้ละเอียดก่อน ว่าศาลนัดวันที่เท่าไหร่ ศาลอะไร

ซึงกรณีที่ได้รับหมายศาลนั้นมีหลายกรณี อาทิเช่น

1. หมายศาลเรียกเป็นพยานในคดี (กรณีนี้คือศาลเรียกตัวไปเบิกความเป็นพยานในคดี หากไม่ไปอาจมีความผิดทางอาญา ซึ่งการไปไม่ได้น่ากลัวอะไร เนื่องจากไปเป็นพยานในคดี)
2 หมายศาลเรียกเป็นจำเลย กรณีนี้แบ่งออกเป็น คดีแพ่ง และคดีอาญา
    - คดีแพ่ง ถ้าเป็นคดี ผู้บริโภค (ผบ.) ที่ถูกเจ้าหนี้ธนาคาร หรือบัตรเครดิตฟ้องเป็นจำเลย ให้ไปตามนัดหมายศาลได้เองโดยไม่จำเป็นต้องมีทนาย เนื่องจากทนายของธนาคาร จะแจ้งให้เราทราบถึงขั้นตอนเอง ซึ่งธนาคารส่วนใหญ่จะให้ข้อเสนอในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากไม่ไปอาจเสียสิทธิในส่วนนี้ได้
                   ถ้าเป็นคดีแพ่งสามัญ ควรอ่านหมายเรียกและคำฟ้องให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อน หลังจากนั้นให้จัดเตรียมทนายความเพื่อเตรียมการต่อสู้คดี(ในกรณีที่เราต้องการสู้คดี หากไม่ต้องการสู้คดีไม่จำเป็นต้องจ้างทนายความก็ได้ สามารถไปที่ศาลแล้วรับสารภาพที่ศาลได้เลย)

      - คดีอาญา จะแบ่ง 2 กรณี คือ กรณีนัดพร้อม ตรวจพยานหลักฐาน และ กรณีนัดไต่สวนมูลฟ้อง
ทั้ง 2 กรณี จำเป็นที่จะต้องจัดหากทนายความเพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวเราเอง ซึ่งหากไม่สามารถหาทนายความได้ สามารถใช้ทนายความที่ศาลจัดหาให้ได้ ซึ่งก็คือทนายขอแรงที่ศาลนั่นเอง
3 หมายรับคำพิพากษา คือ กรณีที่เราไม่ไปฟังคำพิพากษา คู่ความอีกฝ่ายจะนำคำพิพากษามาให้ เพื่อเตรียมการบังคับคดีต่อไป (ในกรณีคดีแพ่งเท่านั้น)
4 หมายบังคับคดี คือ กรณีที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของเราไปเพื่อขายทอดตลาด หากต้องการคัดค้านการบังคับคดี จะต้องรีบติดสำนักงานบังคับคดีตามหมายโดยเร็วที่สุด กรณีนี้สามารถดำเนินการเองได้โดยไม่จำต้องจ้างทนายความก็ได้

**ในคดีแ่พ่งและคดีอาญาเมื่อได้รับหมายแล้วจะต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดีภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหมาย



หากต้องปรึกษากฎหมายติดต่อ
ทนายอิศรา เจริญพิทยา
084-704-6529
สำนักงานกฎหมายทนายประชาธรรม


credit pic : http://www.sittichailaw.com

รับมือกับกลโกงการเล่นเเชร์

เมษายน 09, 2561 0
เล่นแชร์ผิดกฎหมายหรือไม่ มาดูข้อกฎหมายกัน
หากจะพูดถึงการเล่นแชร์แล้ว คงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ประชาชนทั่วไป เนื่องจากเป็นที่นิยมเล่นกันในกลุ่มบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกันและรู้จักกันเป็นอย่างดี อาศัยความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้ได้เงินจำนวนหนึ่งไปใช้จ่ายหรือใช้ในการลงทุนธุรกิจขนาดเล็ก โดยมีผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนในระบบสถาบันการเงิน
การเล่นแชร์ผิดกฎหมายหรือไม่ ?
ประชาชนส่วนมากเข้าใจว่าการเล่นแชร์นั้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่ความจริงแล้วการเล่นแชร์ของประชาชนทั่วไปที่มิได้ดำเนินการเป็นธุรกิจนั้น ไม่ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย ดังนั้น ประชาชนยังสามารถเล่นแชร์กันได้อย่างอิสระ แต่ต้องกระทำภายในขอบเขตที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น โดยมีกฎหมายที่ควบคุม กำกับ ดูแลการเล่นแชร์ ได้แก่ พระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ . 2534 ซึ่งได้บัญญัติคำนิยามของการเล่นแชร์ไว้ว่า หมายถึง การที่บุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตกลงกันเป็นสมาชิกวงแชร์ โดยแต่ละคนมีภาระที่จะส่งเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดรวมเข้าเป็นทุนกองกลางเป็นงวดๆ เพื่อให้สมาชิกวงแชร์หมุนเวียนกันรับทุนกองกลางแต่ละงวดนั้นไปโดยการประมูลหรือโดยวิธีอื่นใด และให้หมายความรวมถึงการรวมทุนในลักษณะอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
เล่นแชร์อย่างไร ? ไม่ให้ผิดกฎหมาย
การเล่นแชร์อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 ได้นั้น จะต้องเป็นการเล่นแชร์ที่ขัดต่อข้อจำกัดตามกฎหมายดังต่อไปนี้
เล่นแชร์อย่างไร ไม่ให้ผิดกฎหมาย?
หากจะพูดถึงการเล่นแชร์แล้ว คงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ประชาชนทั่วไป เนื่องจากเป็นที่นิยมเล่นกันในกลุ่มบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกันและรู้จักกันเป็นอย่างดี อาศัยความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้ได้เงินจำนวนหนึ่งไปใช้จ่ายหรือใช้ในการลงทุนธุรกิจขนาดเล็ก โดยมีผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนในระบบสถาบันการเงิน
กรณีบุคคลธรรมดา หรือประชาชนทั่วไป มีข้อกำหนดห้ามมิให้เป็นนายวงแชร์ (ท้าวแชร์) หรือจัดให้มีการเล่นแชร์ รวมกันมากกว่า 3 วง หรือมีจำนวนสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่า 30 คน หรือมีทุนกองกลางต่อ 1 งวดรวมกันทุกวงมากกว่า 300,000 บาท หรือจัดให้มีการเล่นแชร์ โดยท้าวแชร์ได้รับประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่น นอกจากสิทธิที่จะได้รับทุนกองกลางในการเข้าร่วมเล่นแชร์ในงวดหนึ่งงวดใดได้โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย หากผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าว ต้องระวางโทษจำคุกหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กรณีนิติบุคคล ห้ามมิให้เป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์ หากนิติบุคคลใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งเท่าถึงสามเท่าของทุนกองกลางแต่ละงวดของทุกวงแชร์ แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท และให้ศาลสั่งให้นิติบุคคลนั้นหยุดดำเนินการเป็นนายวงแชร์หรือการจัดให้มีการเล่นแชร์ และห้ามมิให้สัญญาว่าจะใช้เงินหรือทรัพย์สินอื่นใดแทนนายวงแชร์ หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ หรือสมาชิกวงแชร์ หากนิติบุคคลใดฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าว ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท
นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดกรณีอื่นๆ ได้แก่ ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาชี้ชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมในการเล่นแชร์ หากผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และห้ามมิให้ผู้ใดใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อในธุรกิจที่มีคำว่า “แชร์” หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน หากผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 500 บาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่
ถ้านายวงแชร์(ท้าวแชร์)หนีวงแชร์จะทำอย่างไร?
กรณีท้าวแชร์หนีหรือโกงแชร์มี 2 กรณี ได้แก่
1. มีเจตนาทำวงแชร์จริง แต่ด้วยสาเหตุใดหรือมีความจำเป็นใดๆ ก็ตามที่ทำให้ไม่สามารถบริหารเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการเล่นแชร์ สมาชิกวงแชร์หรือลูกแชร์สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันในทางแพ่ง โดยนำพยานบุคคลมาสืบได้
แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ เนื่องจากตามกฎหมายแล้ว การเล่นแชร์นั้นไม่ถือเป็นการกู้ยืมที่จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
2. มีเจตนาจะไม่ทำวงแชร์มาตั้งแต่ต้นว่า แต่อ้างว่าจะทำวงแชร์ หลังจากนั้นเมื่อได้เงินแล้วก็เชิดเงินหลบหนีไปสมาชิกหรือลูกวงแชร์สามารถไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญากับท้าวแชร์ได้ เนื่องจากถือว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ตามข้อที่ 1 และข้อที่ 2 จะเป็นคดีแพ่งทันทีคุณต้องตั้งทนายความเพื่อฟ้องเรียกเงินตามสัญญาเอาเอง ซื้อคดีส่วนใหญ่นั้นเป็นคดีแพ่ง
เมื่อสมาชิกวงแชร์(ลูกแชร์) หนีวงแชร์จะทำอย่างไร?
ถ้าลูกแชร์คนใดคนหนึ่งหรือหลายคนหนีวงแชร์ วงแชร์นั้นจะต้องดำเนินการต่อไป ซึ่งท้าวแชร์จะต้องรับผิดชอบโดยการสำรองจ่ายแทนไปก่อน แล้วท้าวแชร์ก็ไปใช้สิทธิฟ้องร้องบังคับคดีกันในทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 หรือฟ้องร้องฐานผิดสัญญาในทางแพ่ง แล้วแต่กรณี เพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับลูกแชร์ที่หนีวงแชร์ ซึ่งการฟ้องคดีดังกล่าวสามารถนำพยานบุคคลมาสืบได้ ไม่จำต้องมีเอกสารหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ตัวอย่างแนวคำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ
ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับการเล่นแชร์อันเป็นความผิดตามกฎหมาย โดยมีแนวคำพิพากษาดังตัวอย่างต่อไปนี้
นายดำเป็นนายวงแชร์หรือท้าวแชร์จัดให้มีการเล่นแชร์ถึง 5 วง โดยมีจำนวนสมาชิกรวมกันทุกวงมากกว่า 30 คนอันเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 และต่อมานายดำยังได้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงผู้เสียหาย โดยหลอกลวงว่า มีสมาชิกวงแชร์รายอื่นประมูลเงินกองกลางโดยให้ดอกเบี้ยสูงกว่าผู้เสียหายแต่ละคนที่เข้าร่วมประมูล หรือบางงวดนายดำก็แอบอ้างอาศัยชื่อสมาชิกวงแชร์บางรายเข้าประมูลโดยเสนอดอกเบี้ยตอบแทนสูงกว่าสมาชิกที่เข้าร่วมประมูล ทั้งที่ความจริงไม่มีสมาชิกรายใดกระทำการเช่นนั้นหรือมอบหมายให้นายดำกระทำการแทน จนกระทั่งนายดำได้เงินทุนกองกลางไปเสียเองการกระทำของนายดำจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 อีกฐานหนึ่งด้วย
ดังนั้น แม้ประชาชนจะสามารถเล่นแชร์กันได้อย่างอิสระ แต่กฎหมายก็กำหนดให้กระทำได้ในขอบเขตที่จำกัดเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่เราควรศึกษาทำความเข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายหรือถูกหลอกลวง และหากท่านใดมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือหากได้รับความเสียหาย สามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียนมาได้ที่ กลุ่มงานป้องปรามการเงินนอกระบบ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลัง โทร. 0-2273-9021 ต่อ 2627-35 หรือศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ โทร. 1359 หรือส่งจดหมายมาได้ที่ ตู้ป.ณ.1359 ปณจ.บางรัก กรุงเทพฯ 10500 หรือทางเว็บไซต์ ปัจจุบันได้มีผู้ประกอบธุรกิจเป็นนายวงแชร์กว้างขวาง ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศรวมทั้งยังปรากฏว่ามีผู้ประกอบธุรกิจพยายามดำเนินการให้ใกล้เคียงกับธุรกิจเงินทุนซึ่งมีกฎหมาย ควบคุมอยู่แล้ว แต่ในส่วนของประชาชนยังสามารถเล่นแชร์กันได้อย่างอิสระเจตนารมณ์ ใช้บังคับกับผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ (ท้าวแชร์) ในส่วนของผู้เล่นแชร์ (ลูกวงแชร์) ถ้ามีการผิดสัญญา การเล่นแชร์ผู้เล่นแชร์สามารถฟ้องร้องทางแพ่งได้
การเล่นแชร์ (มาตรา 4)
1. บุคคลตั้งแต่ 3 คนตกลงเป็นสมาชิกวงแชร์
2. ส่งเงิน หรือทรัพย์สินอื่นใด รวมเข้าเป็นทุนกองกลางเป็นงวดๆ
3. เพื่อให้สมาชิกวงแชร์หมุนเวียนการรับทุนกองกลางโดยการประมูลหรือโดยวิธีอื่นใด
ข้อห้าม
กรณีบุคคลธรรมดา (มาตรา 6)
1. เป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์มีจำนวนวงแชร์รวมกันมากกว่า 3 วง
2. มีจำนวนสมาชิกวงแชร์รวมกันมากกว่า 30 คน
3. มีทุนกองกลางต่อหนึ่งงวดรวมกันทุกวงมากกว่า 300,000 บาท
กรณีนิติบุคคล (มาตรา 5) ห้ามมิให้นิติบุคคลเป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์
กรณีอื่นๆ
1. ห้ามโฆษณาชี้ชวนประชาชนให้มีการเล่นแชร์ (มาตรา 9)
2. ห้ามใช้ชื่อธุรกิจหรือคำแสดงชื่อในธุรกิจที่มีคำว่า แชร์ หรือคำอื่นใดที่มีความหมายใกล้เคียงกัน (มาตรา 10)
บทลงโทษ
- บุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา 6 จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- นิติบุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา 5 ปรับตั้งแต่หนึ่งเท่าถึงสามเท่าของทุนกองกลาง แต่ไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท
- ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 9 ปรับไม่เกิน 50,000 บาท
- ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 10 ปรับไม่เกิน 20,000 บาท และ ปรับอีกไม่เกินวันละ 500 บาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่

ติดต่อ ทนายอิศรา เจริญพิทยา สำนักงานกฎหมายทนายประชาธรรม

099 7450205  084 704 6529


วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561

คดีหวย 30 ล้าน

เมษายน 08, 2561 0
คงได้ยินข่าวกันบ้างแล้วนะคะเร็วๆนี้ ที่ครูปรีชาพร้อมทนายยื่นฟ้องหมวดจรูญ ในข้อหาายักยอกทรัพย์หรือรับของโจร โดยศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 4 มิถุนายนนี้ ซึ่งในกรณีที่ครูปรัฃีชาพร้อมด้วยทนายยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีเองย่อมทำได้ ซึ่งเป็นสิทธิของฝ่ายครูปรีชา ที่จะไม่ส่งเรื่องคดีให้ทางตำรวจ แต่ทางครูจะดำเนินการฟ้องร้องเอง ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา 28 ซึ่งกล่าวไว้ว่า 

มาตรา 28 บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล
(1) พนักงานอัยการ
(2) ผู้เสียหาย
จากมาตรา 28 จะเห็นได้ว่า บุคคลที่มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาลได้มี 2 ประเภท คือ พนักงานอัยการและผู้เสียหายเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีหลักการดำเนินคดีตามหลักการการดำเนินคดีอาญาโดยรัฐ (State Prosecution) และการดำเนินคดีอาญาโดยเอกชนผู้เสียหาย (Private Prosecution) โดยที่ไม่มีการจำกัดประเภทคดีที่ผู้เสียหายมีอำนาจฟ้อง ผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีอาญาทุกคดีที่ตนเป็นผู้เสียหาย แต่การดำเนินคดีอาญาโดยหลักแล้วเป็นอำนาจและหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะการดำเนินคดีอาญาในชั้นศาล ที่พนักงานอัยการมีอำนาจร้องขอให้ศาลสั่งให้ผู้เสียหายที่เป็นโจทก์ร่วมยุติการกระทำที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อคดีได้ ตาม มาตรา 32 เมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าผู้เสียหายจะกระทำให้คดีของอัยการเสียหายโดยกระทำหรือละเว้นกระทำการใด ๆ ในกระบวนพิจารณา พนักงานอัยการมีอำนาจร้องต่อศาลให้สั่งผู้เสียหายกระทำหรือละเว้นกระทำการนั้น ๆ ได้
ดังนั้นครูปรีชาและทนายความของครูปรีชาจึงสามารถฟ้องคดีได้เอง โดยที่ไม่ต้องผ่านตำรวจและอัยการแต่ะอย่างใด ดังนั้นประชาชนที่เป็นผู้เสียหายก็สามารถฟ้องคดีได้เอง ศาลจะกำหนดวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง ว่าคดีที่ประชาชนผู้เสียหายนำมาฟ้องนั้นมีมูลหรือไม่
สำนักงานกฎหมายทนายประชาธรรม เครดิตรูปภาพ จากข่าวสด
ติดต่อ ทนายอิศรา เจริญพิยา 099 7450205 084 7046529

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561

ถ้าพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง ต้องทำอย่างไร !!

เมษายน 06, 2561 2
  
  การสั่งฟ้องคดีของอัยการ
เมื่อพนักงานสอบสวนทำสำนวนเสร็จแล้วจะทำความเห็นควรสั่งฟ้องหรือไม่ควรฟ้องส่งให้พนักงานอัยการ ซึ่งพนักงานอัยการจะใช้ดุลยพินิจว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล
  หลักการฟ้องคดีของพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนแล้วให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
มาตรา 143 “เมื่อได้รับความเห็นและสำนวนจากพนักงานสอบสวน ดั่งกล่าวใน มาตราก่อน ให้พนักงานอัยการปฏิบัติดั่งต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่มีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ให้ออกคำสั่งไม่ฟ้อง แต่ ถ้าไม่เห็นชอบด้วย ก็ให้สั่งฟ้องและแจ้งให้พนักงานสอบสวนส่งผู้ต้องหา มาเพื่อฟ้องต่อไป
(2) ในกรณีมีความเห็นควรสั่งฟ้อง ให้ออกคำสั่งฟ้องและฟ้อง ผู้ต้องหาต่อศาล ถ้าไม่เห็นชอบด้วย ก็ให้สั่งไม่ฟ้อง
ในกรณีหนึ่งกรณีใดข้างต้น พนักงานอัยการมีอำนาจ
(ก) สั่งตามที่เห็นควร ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวน เพิ่มเติม หรือส่งพยานคนใดมาให้ซักถามเพื่อสั่งต่อไป
(ข) วินิจฉัยว่าควรปล่อยผู้ต้องหา ปล่อยชั่วคราว ควบคุมไว้ หรือขอให้ศาลขัง แล้วแต่กรณี และจัดการหรือสั่งการให้เป็นไปตามนั้น
ในคดีฆาตกรรม ซึ่งผู้ตายถูกเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติ ราชการตามหน้าที่ฆ่าตาย หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุม ของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ อธิบดีกรมอัยการ หรือผู้รักษาการแทนเท่านั้นมีอำนาจออกคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง”

   จะเห็นว่าพนักงานอัยการหลังจากได้รับสำนวนมาจากพนักงานสอบสวนแล้ว จะมีความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพนักงานอัยการ โดยพินิจจากสำนวนว่า พยานหลักฐานต่างๆเพียงพอที่จะดำเนินคดีหรือไม่ ซึ่งอำนาจในการสั่งฟ้องเป็นของพนักงานอัยการผู้เดียว พนักงานสอบสวนมีแต่เพียงความเห็นเท่านั้น 
   ในคดีอาญาเรื่องใดแม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ต้องหากระทำความผิดจริงและให้การรับสารภาพ มีพยานหลักฐานชัดเจน พนักงานอัยการก็อาจใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องได้ ซึ่งเป็นตามหลักการดำเนินคดีอาญาตามดุลพินิจ หากเห็นว่าการสั่งฟ้องคดีนั้นจะไม่เป็นประโยชน์ของสาธารณะชน เช่น คดีลักซาลาเปา

ในกรณีที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ตาม ป.วิอาญา มาตรา 145 บัญญัติไว้ว่า
ในกรณีที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง
1) หากคดีนั้นเป็นคำสั่งไม่ฟ้องขอ
งอัยการสูงสุด ถือว่าคำสั่งนั้นเป็นที่สุด
2) หากคำสั่งไม่ฟ้องนั้นไม่ใช่คำสั่งของอัยการสูงสุด จัดการดังต่อไปนี้
1.ในกรุงเทพมหานคร ให้รีบส่งสำนวนการสอบสวน พร้อมกับคำสั่งไปเสนออธิบดีกรมตำรวจ รองอธิบดีกรมตำรวจ หรือ ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ (ปัจจุบันคือตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ)
2. ในต่างจังหวัด ให้รีบส่งสำนวนการสอบสวน พร้อมกับคำสั่งไปเสนอผู้ว่าราชการจังหวัด
หากมีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ
และหากบัญชาการตำรวจแห่งชาติ... หรือผู้ว่าราชการจังหวัด เห็นแย้งคำสั่งของพนักงานอัยการ ให้ส่งสำนวนพร้อมกับความเห็นที่แย้งกันไปยังอัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาด


ทนายอิศรา เจริญพิทยา
084-7046529

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

ถ้าไม่จ่ายค่าติดตามทวงถาม ยึดรถไป เป็นกรรโชคทรัพย์หรือไม่

เมษายน 05, 2561 0

ถ้าไม่จ่ายค่าติดตามทวงถาม จะยึดรถไป เป็นกรรโชกทรัพย์หรือไม่
คำถาม :การที่ไฟแนนซ์ติดตามทวงถามค่างวดรถ เมื่อพบผู้เช่าซื้อรถ ก็บังคับให้จ่ายค่าติดตามทวงถามอีกต่างหาก
ถ้าไม่ยอมจ่ายค่าทวงถามให้ จะยึดรถที่เช่าซื้อไป ผู้เช่าซื้อเกิดความกลัว จึงยอมจ่ายเงินค่าติดตามทวงถาม ให้ไป 2,300 บาท การกระทำของไฟแนนซ์มีความผิดหรือไม่?
คำตอบ :การกระทำดังกล่าวโดนขู่เข็ญว่า ถ้าไม่ยอมจ่ายค่าทวงถาม จะยึดรถไป เป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์

เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5146/2557
ป.อ.มาตรา 337 วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชก” ดังนี้ การขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญเป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจว่าจะได้รับภัยในทรัพย์สินของตนจากการกระทำของผู้ขู่เข็ญ ซึ่งอาจขู่เข็ญตรงๆ หรือใช้ถ้อยคำหรือทำกริยาให้เข้าเช่นนั้นก็ได้ โดยไม่จำเป็นที่ผู้ขู่เข็ญต้องกระทำต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญจนเสียรูปทรงหรือเปลี่ยนรูปทรงไปจากเดิมหรือใช้การไม่ได้หรือทำให้เสื่อมค่าเสื่อม
ราคาดังที่จำเลยฎีกา จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น การที่จำเลยขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจ่ายเงินค่าติดตามรถยนต์คืน หากไม่นำมาให้จะยึดรถยนต์กระบะของผู้เสียหายไป จึงเข้าลักษณะเป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญคือรถยนต์กระบะของผู้เสียหายแล้ว ซึ่งทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและยินยอมนำเงิน 2,300 บาท ให้จำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์
 ติดต่อ ทนายอิศรา เจริญพิทยา
099-7450205 084,7046529

credit pic : https://www.colourbox.com/image/robbery-of-the-businessman-in-its-car-image-2151441

เลิกจ้างต้องจ่ายค่าจ้างภายใน3วัน

เมษายน 05, 2561 0
เลิกจ้าง ต้องจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายภายใน 3 วัน นับแต่เลิกจ้าง
.
.
คำพิพากษาฎีกาที่ 81/2547 นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2543 นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ 1 ถึง 12 กันยายน 2543 ให้แก่ลูกจ้างภายใน 3 วัน นับแต่วันเลิกจ้าง หากไม่จ่ายย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่ 16 กันยายน 2543 ต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัด


credit pic : https://www.bcgsearch.com/article/60889/Avoiding-the-L-Word-Layoff/

ห้ามแท็กซี่เก็บเงินเกินมิเตอร์

เมษายน 05, 2561 0


ห้ามแท็กซี่เก็บเงินเกินมิเตอร์

หลายๆคนคงจะเคยประสบปัญหากันมาบ้าง เมื่อได้ใช้บริการรถสาธารณะประเภทแท็กซี่ ซึ่งมีการบริการที่ดีบ้าง แย่บ้างต่างกันไป ก็แล้วแต่ดวงว่าวันที่เราใช้บริการจะเจอประเภทไหน

แต่ที่เป็นปัญหากันก็คงจะเป็นเรื่องเงินๆทองๆ เมื่อเราขึ้นแท็กซี่ปรากฏว่าดันไม่กดมิเตอร์ หรือกดแต่เก็บเงินเกินกว่าที่ปรากฏในมิเตอร์
แล้วอย่างนี้ประชาชนอย่างเราๆจะทำอย่างไรละนี่

กรณีนี้ เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกนะครับ ซึ่งมีโทษปรับสูงถึง 500 บาท เพราะกฎหมายห้ามแท็กซี่เรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่ปรากฏในมิเตอร์ ( ม.96 , ม.148 )
และถ้าหากว่าเราพบเห็นแท็กซี่ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ก็ร่วมด้วยช่วยกันนะครับ โดยสามารถร้องเรียนไปยังศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารสาธารณะและรับเรื่องร้องเรียน สายด่วน 1584 ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับเรื่องร้องเรียนอยุ่ในสังกัดของกรมขนส่งทางบก

สนับสนุนโดย “ทนายประชาธรรม เจตนารมณ์ แห่งความเป็นธรรม”
ติดตามข้อมูลบทความดีๆได้ทื่ Facebook : สำนักงานกฎหมายทนายประชาธรรม หรือ
โทร 099-7450205 , 080 450 5769  ทนายอิศรา เจริญพิทยา

credit pic : https://en.wikipedia.org/wiki/Taxicab

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2561

เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนควรทำอย่างไร

เมษายน 04, 2561 0



เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน ไม่ว่าเราจะเป็นคนขับ ผู้โดยสารหรือผู้เห็นเหตุการณ์ เราควรปฎิบัติอย่างไร
1.   ถ้าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์
         ควรเข้าช่วยเหลือคนป่วยเจ็บตามสมควร และเราจะต้องแสดงตัวเป็นพลเมืองดี โดยยินดีที่จะเป็นพยานในคดีให้ สมมุติว่าเราเห็นรถคันหนึ่งชนคนแล้วหนี สิ่งที่เราควรช่วยหลือจับกุมคนที่ทำผิดได้ก็คือพยายามจดทะเบียนรถ ชื่อยี่ห้อ สีรถที่ชนไว้ได้แล้วรีบแจ้งให้ตำรวจทราบเพื่อติดตามจับกุมต่อไป มีพลเมืองดีบางท่านถึงกับขับรถตามจับคนขับที่ชนคนแล้วหนีได้ คนประเภทนี้ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีมีประโยชน์ต่อสังคม

2.   ถ้าท่านเป็นคนเจ็บเพราะรถชน
         ท่านจะต้องปฏิบัติเช่นเดียกับข้อ 1. สิ่งแรกคือท่านจะต้องขอร้องให้คนอื่น หรือตำรวจนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้ก่อน ส่วนเรื่องคดีนั้นเอาไว้พิจารณาภายหลัง แต่ถ้าเจ็บเล็กน้อยพอยอมความได้ก็ยอมเสีย เพื่อมิให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ แต่จะต้องพยายามขอชื่อหรือจำทะเบียนรถคันที่ชนเราไว้ให้ได้ เพราะถ้าหากผู้ขับขี่เบี้ยวเราภายหลังเราจะได้จัดการเรียกค่าเสียหายได้ตามกฎหมาย มิฉะนั้นแล้วจะไม่รู้ว่าจะไปฟ้องร้องเขาจากใคร ที่ไหน

3.   ถ้าท่านเป็นคนขับ
         ถ้าท่านเป็นคนขับรถชนกัน สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ  อย่าหนีเป็นอันขาด เพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้นไม่ใช่เรื่องเจตนา ผู้กระทำผิดไม่ใช่อาชญากร โทษก็ไม่มากมายอะไร ควรจะอยู่เพื่อต่อสู้กับความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องหลบหนีนานถึง 15 ปี ถ้าท่านขับรถชนคนตาย แต่ถ้าท่านมอบตัวสู้คดี บางทีท่านก็ไม่มีความผิด หรือมีความผิดศาลก็ปรานีลดโทษให้ ถ้าท่านเป็นคนดีมีน้ำใจ

หน้าที่ของคนขับรถเมื่อเกิดรถชนกันนั้น กฎหมายกำหนดไว้ดังนี้
ต้องหยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร เช่น ขับรถชนคนก็ต้องหยุดรถ ช่วยเหลือคนที่ถูกชน นำส่งโรงพยาบาลเท่าที่จะทำได้
ต้องไปแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที คือต้องรีบไปแจ้งตำรวจที่ใกล้เคียงทันที แต่ต้องบอกตำรวจด้วยว่าเราเป็นคนขับรถอะไร
แจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่หมายเลขทะเบียนรถ แก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย
ถ้าผู้ขับขี่หลบหนีหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กฎหมายให้สันนิฐานว่าเป็นผู้กระทำผิด และตำรวจมีอำนาจยึดรถที่ขับไว้จนกว่าจะได้ตัวผู้ขับขี่หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ถ้าคนขับคนใดไม่ปฏิบัติตามข้อ (1), (2) และ (3) แล้วจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท แต่ถ้าคนที่ถูกชนบาดเจ็บสาหัสหรือตาย ต้องจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท

4.   ถ้ารถท่านมีประกันท่านตัองรีบติดต่อกับบริษัทประกันของท่านทันที
         เพราะบริษัทประกันเขาจะมีเจ้าหน้าที่มาตามที่เกิดเหตุ พร้อมทำแผนที่เกิดเหตุไว้พร้อมมูลเพื่อเอาไว้ต่อสู้คดี
5.   ถ้ามีกล้องถ่ายรูปหรือหากล้องถ่ายรูปใกล้ที่เกิดเหตุได้ต้องรีบถ่ายรูปรถ และที่เกิดเหตุไว้ให้พร้อม
         เพื่อจะได้เก็บไว้เป็นหลักฐานการต่อสู้คดีต่อไป และหากมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิปอเต็กตึ้งหรือมูลนิธิร่วมกตัญญูถ่ายภาพศพหรือที่เกิดเหตุไว้ ก็ให้ติดต่อขอภาพที่ถ่ายเก็บไว้ให้ได้ เพราะจะเป็นประโยชน์แก่รูปคดีในภายหลัง

6.   ควรช่วยเหลือคนเจ็บหรือค่าทำศพของผู้เสียชีวิต
         เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ คนขับรถ มักไม่ค่อยเห็นประโยชน์ ของการช่วยเหลือเหล่านี้ ความจริงเมื่อเราขับรถชนคนตาย บาดเจ็บ หรือการขับรถโดยประมาทนั้น เรามีความผิดทั้งทางกฎหมายแพ่ง และอาญา
          ทางอาญา  เราอาจจะต้องรับโทษติดคุกติดตะราง
          ทางแพ่ง  เราจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย ค่าบาดเจ็บ ค่าทำศพให้กับเขาอีก คือติดคุกแล้วยังจะต้องเสียเงินให้กับฝ่ายคนเจ็บ คนตายเขาอีก ทีนี้ถ้าหากเราช่วยเหลือคนเจ็บ หรือใช้ค่าทำศพคนตายแล้ว มีผลดียังไง ตอบได้ว่า มีผลดีมาก ยกตัวอย่างเช่น
         เราขับรถชนคนบาดเจ็บไปโรงพยาบาล ต่อมาอัยการฟ้องเราต่อศาล เราก็แถลงต่อศาลว่า เราช่วยเหลือคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ส่วนมาก ศาลจะเห็นว่า เราเป็นคนดีมีน้ำใจ ศาลก็อาจจะรออาญาให้เราโดยไม่จำคุกเรา แต่ถ้าเราชนแล้วหนี ส่วนมาก ศาลมักจะจำคุกเราเลย เพราะเห็นว่าเราเป็นคนแล้งน้ำใจ

         การตกลงใช้ค่าเสียหายให้คนเจ็บก็มีประโยชน์มากยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราไม่พยายามตกลงใช้ค่าเสียหายให้กับคนเจ็บ ตำรวจเขาจะมีระเบียบไว้ว่า ไม่ให้คืนรถของกลางให้แก่ผู้ต้องหา จนกว่า ผู้ต้องหา จะพยายาม ตกลงกับฝ่ายผู้เสียหาย และถ้าหาก เราชดใช้ค่าเสียหาย จ่ายค่าทำศพให้เขา คดีแพ่งก็ระงับ เพราะถือว่า ยอมความคดีแพ่งกันแล้ว จะฟ้องเรียกค่าเสียหายเราในทางแพ่งไม่ได้อีกแล้ว และถ้าเราถูกฟ้อง คดีอาญาต่อศาล ผู้เสียหาย จะมาแถลงต่อศาลว่า เราได้ชดใช้ค่าเสียหายให้เขาแล้ว ส่วนมากแล้ว ศาลจะปรานีจำเลย โดยตัดสินให้รออาญาแก่จำเลย เห็นหรือยังว่า การช่วยเหลือคนเจ็บ และการมีน้ำใจนั้นดีอย่างไร
ติดต่อ ทนายอิศรา เจริญพิทยา
โทร 099-7450205 ,084-7046529


credit pic : http://yellowmello.com/car-crash/

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561

ผู้รับบุตรบุญธรรมตัดสิทธิปกครองพ่อแม่ที่แท้จริง

เมษายน 03, 2561 0




การที่พ่อแม่ที่แท้จริงยกลูกของตนเองให้เป็นลูกบุญธรรมคนอื่นหรือตามกฎหมายเรียกว่า “บุตรบุญธรรม” คงได้ยินกันมาบ้างแล้ว แต่มีทั้ง ทำตามธรรมเนียม และตามกฎหมาย ที่ได้รับความคุ้มครอง อาจเนื่องมาจากสาเหตุแตกต่างกันไป บางครั้งคุณพ่อคุณแม่ก็อาจจะมีความขัดสนด้านเงินทอง การยกบุตรให้เป็นบุตรคนอื่นอาจจะทำให้ลูกตนเองได้อยู่สุขสบาย และไม่เป็นภาระของพ่อแม่ หรือการที่ญาติพี่น้องไม่มีลูก อยากได้บุตรคนอื่นมาเป็นลูกแค่ในนาม หรือจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งพ่อแม่หลายท่านคงยังไม่ทราบว่าการดำเนินการตามกฎหมายนั้นมีผลผูกพันพ่อแม่ และผู้รับบุตรบุญธรรมอย่างไร มีผลกระทบและผลได้ผลเสียในเรื่องใดบ้าง

การพิจารณาด้วยเหตุผลต่าง ๆ แล้ว ตกลงว่าจะยกลูกตนเองให้เป็นบุตรบุญธรรมคนอื่น มิใช่ว่าจะสามารถทำได้ทุกคน กฎหมายมีการกำหนดกฎเกณฑ์ไว้เพื่อคุ้มครองป้องกันตัวเด็กให้ได้รับประโยชน์สูงสุด โดยต้องเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนด ต้องมีความเหมาะสมในส่วนของผู้รับบุตรบุญธรรม โดยภาพรวมแล้ว  การยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมนั้น เด็กต้องไม่มีชีวิตที่แย่ลง และมีความเหมาะสมในทุก ๆ ด้าน จึงจะสามารถดำเนินการได้ ซึ่งรัฐเองได้กำหนดกฎเกณฑ์ไว้หลายประการ เช่น

ผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และต้องมีอายุมากกว่าบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี  โดยจะเห็นได้ว่า ผู้รับบุตรบุญธรรมควรมีวุฒิภาวะในด้านต่าง ๆ ที่เหมาะสม มิใช่ยังเป็นเด็ก หรือยังเป็นวัยรุ่นอยู่ อีกทั้งความห่างของช่วงอายุนั้น ใช้ในการกำหนดอำนาจปกครองของผู้รับบุตรบุญธรรมได้อย่างเหมาะสม หากอายุใกล้กันมากเกินไปอาจจะปกครองบุตรบุญธรรมไม่ได้
ผู้ที่จะป็นบุตรบุญธรรมถ้ามีอายุมากกว่า 15 ปี เจ้าตัวต้องให้ความยินยอมด้วย เด็กที่โตกว่า 15 ปี เรียกกันว่าเป็นวัยรุ่นแล้ว การที่จะให้ใครมาเป็นพ่อแม่ ก็คงเกิดความรู้สึก จึงควรให้เด็กได้มีส่วนตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับ ไม่ใช่ว่าพ่อแม่เห็นดีเห็นงามแล้วเด็กต้องเห็นด้วยเสมอไป เรื่องภาวะทางด้านจิตใจเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง
ผู้เยาว์ที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ต้องได้รับความยินยอมจากบิด มารดา เนื่องจากหากเด็กยังเล็ก ยังไม่อาจตัดสินใจได้รอบคอบ ผู้ปกครองจึงยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยพิจารณา
ผู้เยาว์เป็นผู้ถูกทอดทิ้งและอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์เด็ก ก็จะต้องให้สถานสงเคราะห์เด็กให้ความยินยอม ซึ่งมองคล้ายๆ กับว่าสถานสงเคราะห์เด็กนั้นเป็นผู้ปกครองมาก่อน จึงมีความเข้าใจ และรู้ว่าเด็กจะเข้ากับผู้รับบุตรบุญธรรมได้หรือไม่
ผู้ที่จะรับบุตรบุญธรรมและผู้จะเป็นบุตรบุญธรรม ถ้ามีคู่สมรสต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสก่อน
การรับบุตรบุญธรรมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อ ได้มีการจดทะเบียนตามกฎหมาย ข้อนี้สำคัญ การยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมทั่วไป ที่ไม่ได้จดทะเบียน โดยมีความเข้าใจว่าได้เป็นพ่อแม่ลูกกันจริง ๆ แล้วนั้น ไม่สามารถที่จะอ้างสิทธิตามกฎหมายได้ ดังนั้นหากจะได้รับความคุ้มครองสิทธิที่เกี่ยวข้องแล้วจำเป็นที่จะต้องไปจดทะเบียนต่อหน่วยงานของรัฐเท่านั้น
เมื่อมีการรับบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องตามหลักเกณฑ์ข้างต้นแล้ว ย่อมมีผลทางกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องตามมา โดยให้บุตรบุญธรรมมีฐานะอย่างเดียวกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม หมายถึงเปรียบเสมือนลูกที่คลอดออกมา  แต่บุตรก็ไม่เสียสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวที่เกิดมา คือบุตรนั้นยังคงมีสิทธิและหน้าที่ต่อพ่อแม่ที่แท้จริงอยู่เช่นเดิม เช่น มีสิทธิได้รับมรดก หรือมีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูบุพการีผู้ให้กำเนิด เป็นต้น

ส่วนพ่อแม่โดยกำเนิดจะหมดอำนาจปกครองนับแต่เวลาที่เด็กได้เป็นบุตรบุญธรรมของผู้รับบุตรบุญธรรมไปแล้ว กล่าวคือ อำนาจปกครองบุตรจะไปอยู่ที่ผู้รับบุตรบุญธรรมจนกว่าจะปรรลุนิติภาวะ ผู้รับบุตรบุญธรรมมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษากับบุตรบุญธรรม กรณีเด็กทำผิดแล้วผู้ปกครองต้องรับผิดเช่น เด็กไปแข่งรถบนถนนถูกตำรวจจับ ผู้ที่ต้องรับโทษแทนจะเป็นผู้รับบุตรบุญธรรม ไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงแล้ว  รวมทั้งเด็กจะมีสิทธิได้รับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมเมื่อผู้รับบุตรบุญธรรมถึงแก่ความตายด้วย ในทางกลับกันเมื่อเด็กที่ไปเป็นบุตรบุญธรรมต่อมาได้เติบโตและสามารถประกอบสัมมาอาชีพได้แล้วก็ต้องมีหน้าที่ให้การอุปการะเลี้ยงดูทั้งพ่อแม่ที่ให้กำเนิดและผู้รับบุตรบุญธรรมเช่นกัน

อำนาจปกครองบุตรจากเดิมเป็นของพ่อแม่ที่แท้จริง เมื่อยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นแล้ว อำนาจปกครองบุตรต่างๆ ดังต่อไปนี้ จะเป็นของผู้รับบุตรบุญธรรมทันที

การกำหนดที่อยู่ของบุตร เช่น ให้อยู่ที่ไหน จังหวัดไหน อยู่กับใคร จะส่งผลถึงการได้พบเจอ ยากหรือง่าย
ทำโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน
ให้บุตรทำงานตามสมควร
เรียกบุตรคืนจากคนอื่นซึ่งกักตัวบุตรไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การกำหนดการศึกษาต่าง ๆ

ทั้งนี้อำนาจปกครองบุตรบุญธรรมจะสิ้นสุดลงไปด้วยเหตุ 3 ประการนี้

เมื่อการจดทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม
เมื่อบุตรบุญธรรมสมรสกับผู้รับบุตรบุญธรรม กรณีนี้สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากมิใช่เป็นบิดามารดาที่แท้จริง จึงไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย
เมื่อศาลพิพากษาให้เลิกการรับบุตรบุญธรรม
ดังนั้นการรับบุตรบุญธรรมมีผลทางกฎหมายในหลายกรณี หากประสงค์ที่จะได้รับความคุ้มครองตามสิทธิต่างๆ แล้วควรที่จะไปดำเนินการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
ติดต่อ ทนายอิศรา เจริญพิทยา
099-7450205,084-7046529 สำนักงานกฎหมายทนายประชาธรรม

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561

visa ปรเภทต่างๆสำหรับต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย

เมษายน 02, 2561 0


visa ประเภทต่างๆ สำหรับเช้ามาในประเทศไทย

    ชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย ต่างก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ซึ่งการขอ visa แต่ละวัตถุประสงค์ก็แตกต่างกัน

การขอ visa เข้ามาในประเทศส่วนใหญ่แบ่งได้ดังนี้

- visa non B เป็นวีซ่าสำหรับธุรกิจ คือ ชาวต่างชาติคนใดที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทยจะต้องขอวีซ่าประเภทนี้ หลังจากที่ได้รับอนุญาตแล้ว visa ชนิดนี้มีอายุ 1 ปี หากไม่ต่ออายุภายในกำหนดจะถือว่าวีซ่าหมดอายุ จะต้องออกนอกประเทศไทยทันที 

- visa non O เป็นวีซ๋าประเภทติดตาม เช่น กรณีแต่งงานกับคนไทย หรือ ติดตามครอบครัวที่มาทำงานในประเทศไทย ฯลฯ

- visa student เป็นวีซ่าประเภทนักเรียน นักศึกษา ที่เข้ามาศึกษาในประเทศไทย

- visa on tourist เป็นวีซ๋าประเภทเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย 

**สำหรับ visa non B นั้นจะต้องถือคู่กับ work permit มิฉะนั้น่จะไม่สามารถทำงานได้

หากต้องการความช่วยเหลือในการขอ visa ประเภทต่างๆ สามารถติดต่อมาได้ที่
โทร 0847046529 (นายอิศรา เจริญพิทยา) 


crdit pic : https://news.lovepattayathailand.com/wp-content/uploads/2018/01/500-42.jpg

ย้อนคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหวยอลเวง

เมษายน 02, 2561 0

ย้อนคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหวยอลเวง 3 คดีในอดีตที่ศาลเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด
จะไม่กล่าวอ้างถึงคดีปัจจุบันนะคะไม่อยากมีประเด็นกับใครทั้งนั้น แต่จะขอยกขอย้อนคำพิพากษาศาลฎีกาหวยอลเวงมาเล่าสู่กันฟังอย่าดราม่า ไม่ดราม่านะคะทุกท่าน

เริ่มต้นด้วยคำพิพากษาศาลฎีกา เลขที่ 2578/2530 ที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ นำมากล่าวอ้าง  คดีนี้ นายวุ่น อัครกิ่ง โจทก์ฟ้องสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นจำเลย โดยระบุคำฟ้องว่า ได้ทำสลากที่ถูกรางวัลที่ 4 สูญหาย แต่มีหลักฐานภาพถ่ายสลากที่สูญหาย และใบแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ โดยส่งมอบหลักฐานให้จำเลย เพื่อขอให้จ่ายเงินรางวัล และดอกเบี้ย  คดีนี้ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนแนวทางเดียวกัน ให้จำเลยจ่ายเงินแก่โจทก์ โดยศาลฎีกา วินัจฉัยว่า เงื่อนไขการรับรางวัลที่ด้านหลังสลากทุกฉบับ ระบุว่าเงินรางวัลจะจ่ายแก่ผู้ถือสลากฉบับที่ถูกรางวัลนำมาขอรับ ไม่ใช่ข้อกำหนดที่จะไม่จ่ายเงินรางวัลแก่ผู้ถูกรางวัล ที่สลากหายไป จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาเลขที่ 464/2515 จ่าเอกมาโนช เชาว์ฉลาด เป็นโจทก์ ฟ้องกระทรวงการคลัง ที่มีนายเสริม วินิจฉัยกุล ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นจำเลย  คำฟ้องระบุว่า โจทก์ซื้อสลาก 1 คู่ และฉีกสลากส่วนล่างให้ภรรยาเก็บไว้ กระทั่งถูกรางวัลที่ 2 แต่พบสลากส่วนล่างที่ภรรยาเก็บไว้ สูญหาย จึงแจ้งความร้องทุกข์ตำรวจ เมื่อไปขอขึ้นเงินรางวัล จำเลยปฏิเสธจ่ายเงินในส่วนสลากที่หายไป  คดีนี้ศาลฎีกา เห็นว่า แม้ด้านหลังสลากทุกฉบับจะระบุว่า เงินรางวัลจะจ่ายแก่ผู้ถือสลากฉบับที่ถูกรางวัลนำมาขอรับเท่านั้น แต่เมื่อโจทก์มีหลักฐานเชื่อได้ว่า เป็นเจ้าของสลากจริง ฉะนั้นเพียงพอที่จำเลย ต้องจ่ายเงินรางวัลให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาเลขที่ 3409/2529 นางสมหมาย ปอดีเสมอ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จำเลย  คำฟ้องระบุว่า โจทก์ถูกสลากรางวัลที่ 3 แต่ไม่สามารถนำสลากไปขึ้นเงินรางวัลได้ แต่บุตรสาวเข้าใจผิด นำไปเผาไฟเสียหาย โจทก์แจ้งความร้องทุกข์ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน แต่จำเลยปฏิเสธจ่ายเงิน สุดท้ายศาลฎีกา พิพากษายืน พร้อมระบุว่า โจกท์มีการซื้อสลากมาจากแม่ค้าชื่อใบ และถูกนำไปเผาจริง ประกอบกับยังไม่มีมีใครนำสลากชุดนี้มาขึ้นเงินรางวัล แม้จะมีการระบุหลังสลากว่า จะจ่ายเงินแก่ผู้ถือสลากนำมาขึ้นรางวัล แต่เมื่อพิสูจน์ได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของจริง จำเลยต้องจ่ายเงินให้

ลักลอบเป็นชู้ในที่ทำงานเป็นความผิดร้ายแรง

เมษายน 02, 2561 0

กฎหมายน่ารู้ โดยสำนักงานกฎหมายทนายประชาธรรม

ระวัง ลักลอบ แอบกิ๊ก  เป็นชู้กันในที่ทำงาน ถือเป็นความผิดร้ายแรง นายจ้างเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย

ถือว่าเป็นการการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีที่ร้ายแรงนั้น เห็นว่าระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ว่าด้วยกฎระเบียบทางวินัยได้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางให้พนักงานละเว้นหรือหลีกเลี่ยงการกระทำอันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียง ทรัพย์สิน ผลประโยชน์ของนายจ้างหรือการกระทำอันเป็นการขัดต่อศีลธรรมประเพณีอันดีงาม พนักงานทุกคนของนายจ้างจะต้องไม่กระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าวทั้งในเวลาทำงานหรือนอกเวลาทำงานขณะอยู่ในหรือภายนอกสถานที่ทำงาน ถ้าพนักงานกระทำการใดที่อาจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียงหรือในทางอื่นใดแล้ว นายจ้างย่อมมีอำนาจพิจารณาลงโทษตามระเบียบข้อบังคับได้ การที่พนักงานแอบเป็นชู้กัน แม้จะไม่ปรากฏว่าเกิดขึ้นภายในบริษัทของนายจ้าง หรือในเวลาทำงานก็ถือได้ว่าเป็นการไม่รักษาเกียรติและประพฤติชั่ว ซึ่งเป็นการละเมิดต่อศีลธรรมอันดีอย่างร้ายแรง

อ้างตามคำพิพากษาฎีกาที่ 5609/2542 (ย่อ)
คดีนี้โจทก์ในฐานะลูกจ้าง ถูกจำเลยในฐานะนายจ้างไล่ออกเพราะโจทก์เป็นชู้กับเพื่อนร่วมงาน แต่โจทก์เห็นว่าการเป็นชู้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้ลักลอบได้เสียกันในที่ทำงาน แต่ศาลท่านก็วินิจฉัยไว้แล้วว่า ข้อบังคับการทำงานนั้นใช้บังคับกับการกระทำของลูกจ้างทั้งนอกและในสถานที่ทำงาน ไม่ว่าเวลางานหรือนอกเวลางาน คงยังมีหลายท่านที่ยังเข้าใจผิดในเรื่องนี้ คิดว่าเออฉันทำนอกสถานที่ทำงาน นอกเวลางาน นายจ้างไม่เกี่ยว ก็ต้องขอบอกว่าเข้าใจผิดกันนะครับ พอดีช่วงนี้ทำคดีแรงงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ค้นคว้าคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับคดี เห็นว่าเป็นประโยชน์จึงนำมาเผยแพร่ให้มิตรรักแฟนเพจเป็นความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ

สนับสนุนโดย “ทนายประชาธรรม เจตนารมณ์ แห่งความเป็นธรรม”
ติดตามข้อมูลบทความดีๆได้ทื่ Facebook : สำนักงานกฎหมายทนายประชาธรรม หรือ
โทร ติดต่อ ทนายอิศรา เจริญพิทยา
099-7450205, 084-7046529

credit pic : https://www.pinterest.co.uk/pin/562035228490357594/?autologin=true

กฎหมายค้ำประกันไม่รู้ไม่ได้เเล้ว

เมษายน 02, 2561 0


กฎหมายค้ำประกัน......ไม่รู้ไม่ได้แล้ว?

เรื่องของการค้ำประกันเกิดปัญหาค่อนข้างมาก ซึ่งปัญหาที่เกิดส่วนใหญ่มาจากการที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้จนส่งผลให้ผู้ค้ำประกันต้องเข้าใช้หนี้แทน ดังเช่นข่าวหมอฟันหนีทุนอันโด่งดัง เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

เรื่องของกฎหมายค้ำประกันมีอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๐ ที่ว่า

“อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่ง เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่ง สัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

การเข้าค้ำประกันนั้น จะมีทั้งที่เป็นการค้ำประกันโดยบุคคลหลายคน เข้าทำสัญญาค้ำประกันผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ และกรณีบุคคลคนเดียวเข้าค้ำประกัน

การเข้าค้ำประกันด้วยคนหลายคน ผู้ค้ำประกันจะมีลักษณะเป็นลูกหนี้ร่วมกัน นั่นหมายความว่า เจ้าหนี้จะบังคับให้ผู้ค้ำประกันคนใดคนหนึ่งใช้หนี้แทนจนหมดสิ้น หรือให้เฉลี่ยกัน หรือบังคับที่ใคร มากน้อย อย่างไรก็ได้

ดังที่ บัญญัติไว้ใน มาตรา ๖๘๒ วรรคสองว่า

“ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้น มีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน”

แต่ถ้าเป็นการค้ำประกันด้วยคนๆเดียว การเขียนในข้อสัญญาว่าให้ผู้ค้ำประกันมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมด้วยนั้น ข้อสัญญานี้จะเป็นโมฆะ ตามที่มีการแก้ไขกฎหมาย และมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เป็นต้นมา ซึ่งอยู่ในมาตรา ๖๗๑/๑ ที่แก้ไขใหม่ ดังนี้



“มาตรา ๖๘๑/๑ ข้อตกลงใดที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ”

ทั้งนี้ หมายความว่า สัญญาค้ำประกันยังคงผูกพันอยู่ และผู้ค้ำประกันมีสิทธิเกี่ยง ขอให้เจ้าหนี้ เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน หรือขอให้บังคับเอากับทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน หรือ ร้องขอให้ชำระเอาจากหลักประกันที่เจ้าหนี้ยึดถือเป็นประกันไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๘, มาตรา ๖๘๙ , มาตรา ๖๙๐ ได้
ติดต่อปรึกษา ทนายอิศรา เจริญพิทยา
099-7450205 , 084-7046529

a

สิทธิลูกจ้าง จ่ายค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง

เมษายน 02, 2561 0

สิทธิลูกจ้าง จ่ายค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง
คงไม่มีใครคาดหวังให้ตัวเองถูกเลิกจ้าง แต่ถ้าหากสิ่งนั้นเกิดขึ้น คนทำงานในฐานะลูกจ้าง ก็ต้องรู้สิทธิที่เราควรจะเรียกร้องว่ามีอะไรบ้าง กฎหมายการจ่ายค่าชดเชยกรณีเลิกจ้าง อาจดูเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่เราก็ไม่ควรมองผ่าน ไม่ว่าจะเป็นนายจ้างหรือลูกจ้างก็ตาม ควรจะทำความเข้าใจ เพื่อรักษาสิทธิของตนไว้

          เงินค่าชดเชย (Severance Pay) เป็นสิ่งที่นายจ้างต้องจ่ายในกับลูกจ้าง เพื่อเป็นการช่วยเหลือในกรณีที่ลูกจ้างถูกให้ออกจากงาน ซึ่งความผิดนั้นต้องไม่ได้มาจากการกระทำของลูกจ้างเอง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง นายจ้างทำให้ลูกจ้างต้องออกจากงาน นายจ้างต้องจ่ายเงินค่าชดเชยนั้นให้กับลูกจ้าง เพื่อให้มีเงินใช้ในระหว่างที่ว่างงาน หรือเป็นทุนในการหางานใหม่

          คนทำงานบางคนอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าชดเชยจากนายจ้าง ภายใต้กฎหมายที่คุ้มครองแรงงานได้กำหนดไว้ว่า ลูกจ้างมีสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชย หากเกิดขึ้นในกรณีต่าง ๆ เหล่านี้

ลูกจ้างถูกเลิกจ้างโดยมิได้กระทำความผิดตามที่กฎหมายกำหนด
ลูกจ้างถูกเลิกจ้างหลังจากที่ทำงานกับนายจ้างมาแล้วอย่างน้อยครบ 120 วัน
          แต่ถ้าหากลูกจ้างลาออกเองก็ไม่ถือเป็นสิทธิที่ลูกจ้างจะเรียกร้องค่าชดเชยได้ ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชย ไม่ว่าจะทำงานให้กับนายจ้างมานานเท่าใดก็ตาม

การเลิกจ้างที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย

          การที่ลูกจ้างต้องออกจากงาน ไม่ได้หมายความว่าลูกจ้างจะได้ค่าชดเชยในทุกกรณี เพราะมีบางกรณีที่นายจ้างไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกจ้าง ซึ่งกรณีที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยมีดังนี้

ลูกจ้างลาออกเอง
ทุจริตต่อนายจ้าง หรือทำความผิดอาญา
จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
ทำการประมาทเลินเล่อจนทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
ฝ่าฝืนระเบียบการทำงาน โดยที่นายจ้างได้ออกหนังสือเตือนไปแล้ว
ละทิ้งการทำงานติดต่อกัน 3 วัน โดยไม่มีเหตุอันควร
ได้รับความผิดถึงขั้นจำคุก ยกเว้นกรณีไม่ร้ายแรง
อัตราค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง

          เมื่อมีการเลิกจ้างที่ไม่ได้เกิดจากความผิดของลูกจ้างเอง นายจ้างต้องเป็นผู้จ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้าง ซึ่งเป็นค่าชดเชยที่คำนวณจากอายุงานของลูกจ้างเอง สรุปได้ดังนี้

ทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
ทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี 3 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน
ทำงานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี 6 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน
ทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี 10 ปี ได้รับค่าชดเชยเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 240 วัน
ทำงานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน
ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง          จะเห็นได้ว่าระยะเวลาในการทำงานของลูกจ้างเป็นตัวกำหนดอัตราค่าชดเชย อย่างแรกคือ ลูกจ้างมีสิทธิจะได้รับค่าชดเชยหรือไม่ หากได้จะได้รับในปริมาณที่มากน้อยเพียงใด ระยะเวลาจึงเป็นตัวกำหนดการได้รับค่าชดเชยของนายจ้าง ยิ่งลูกจ้างอยู่กับบริษัทนาน ก็จะยิ่งได้ค่าชดเชยมากเท่านั้น

          เมื่อถูกเลิกจ้าง ค่าชดเชยดังกล่าวเป็นเพียงเงินส่วนหนึ่งซึ่งกฎหมายกำหนดให้นายจ้างจ่ายเท่านั้น ยังมีเงินที่เกี่ยวเนื่องจากการเป็นลูกจ้างหลายชนิดที่เป็นสิทธิของลูกจ้าง ดังนั้น คนทำงานต้องตรวจสอบ และรักษาสิทธิของตัวเองให้ดี เพราะนั่นจะเป็นประโยชน์ต่อตัวลูกจ้างเอง อย่างน้อยเราก็มีเงินส่วนหนึ่งที่เราสามารถใช้จ่ายในช่วงที่ว่างงานได้
ติดต่อปรึกษา ทนายอิศรา เจริญพิทยา
099-7450205,084-7046529

ภาพประกอบโดย iosphere เว็บไซต์ https://www.up.com/employee/

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561

โดนฉ้อโกงเอาเงินไป ทำอย่างไรดี?

เมษายน 01, 2561 0




          ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคอินเทอร์เน็ต โซเชียลเน็ตเวิร์คซึ่งง่ายต่อการถูกหลอกมาก เช่น การซื้อขายของบนเฟสบุ๊ค คนขายบอกว่ามีของที่จะขายจริงๆ ให้คนซื้อโอนเงินให้ก่อน พอคนซื้อโอนเงินค่าสินค้าไปแล้วต่อมาคนขายไม่ส่งของให้ กลับปิดเฟสบุ๊คหนีหายไปเลย ติดต่อไม่ได้  ซึ่งหากการกระทำมีลักษณะเข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ดังต่อไปนี้ ก็ถือว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
        "ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยการหลอก ลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สามหรือ ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ ปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
 องค์ประกอบความผิด
 1. ผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง
 2. โดยการหลอกลวงดังว่านั้น
               (1) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือ
               (2) ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ
 3. โดยทุจริต (เจตนาพิเศษ)


       ทำอย่างไร เมื่อโดนโกงเงินไปแล้ว
1 รีบไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจ ในท้องที่ที่เราถูกโกง ภายใน 3 เดือน หลังจากเรารู้ว่าถูกหลอกแล้ว มิฉะนั้นคดีจะ    ขาดอายุความ
2 รวบรวมพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุด เพื่อเตรียมดำเนินคดี



ทนายอิศรา เจริญพิทยา
โทร 0847046529

credit pic : https://www.noobpreneur.com/2015/09/21/dont-let-credit-card-fraud-cost-you-how-to-spot-fraudulent-transactions/